เจอร์เก้น คล็อปป์ แสดงให้โลกได้เห็นแล้วว่าเขาคือผู้จัดการทีมที่บริหารจัดการนักเตะได้อย่างยอดเยี่ยม แม้ว่าผู้เล่นตัวหลักจะบาดเจ็บมากมาย แต่สามารถใช้งานแข้งดาวรุ่งลงสนาม พร้อมกับโชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่น สำหรับแมตช์นี้ “หงส์ละอ่อน” มากกว่าครึ่งทีมเล่นด้วยความมั่นใจ และจัดการดับซ่า เซาธ์แฮมป์ตัน 3-0 ผ่านเข้าไปเล่นรอบ 8 ทีมสุดท้าย ศึกเอฟเอ คัพ โดยจะพบกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่สนามโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ช่วงกลางเดือนมีนาคมนี้

1. หงส์ละอ่อนฟอร์มไม่ธรรมดา

คล็อปป์ จำเป็นต้องใช้ผู้เล่นชุดผสมผสานในแมตช์นี้ โดย 11 ตัวจริงมีรุ่นพี่อย่าง เฟอร์จิล ฟาน ไดค์, โจ โกเมซ, คอสตาส ซิมิกาส และ โคดี้ กัคโป คอยทำหน้าที่ประคองบรรดานักเตะดาวรุ่งที่ได้โอกาสลงสนามมากกว่าครึ่งทีม

บรรดาแข้งอะคาเดมี่ไม่ว่าจะเป็น ควีวิน เคลเลเฮอร์, คอนเนอร์ แบรดลีย์, จาเรลล์ ควอนซาห์, บ็อบบี้ คล้าร์ก, เจมส์ แม็คคอนเนลล์, ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ และ ลูอิส คูมาส ต่างทำผลงานได้อย่างโดดเด่น

ADVERTISEMENT

ขณะที่ คูมาส ไม่ทำให้ “บอส” ผิดหวังเมื่อได้โอกาสลงตัวจริง และซัดประตูสำคัญในช่วงท้ายครึ่งแรกทีม นอกจากนี้บรรดา “หงส์ละอ่อน” แสดงการเล่นที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ และกล้าที่จะบุกใส่ เซาธ์แฮมป์ตัน แบบไม่เกรงใจ

ส่วนตัวสำรองอย่าง เจย์เดน แดนน์ส ต้องบอกว่ามีพัฒนาการอย่างต่อเนื่องจริงๆ ทั้งการวิ่งหาพื้นที่ว่าง การยืนถูกที่ถูกเวลา และการจบสกอร์ ทำได้ยอดเยี่ยม นั่นทำให้เขาสามารถมีชื่อบนสกอร์บอร์ด จากการซัดไป 2 ตุง สำหรับ เทรย์ ไนโอนี่ อาจมีเวลาน้อยไปนิดที่จะได้โชว์ผลงาน แต่ดูทรงแล้วถือว่าเป็นเด็กที่มีอนาคตจริงๆ

ADVERTISEMENT

2. โกเมซ กับตำแหน่งกลางรับ

จากการที่มีโปรแกรมแน่นเอี๊ยดทำให้ คล็อปป์ ต้องบริหารจัดการนักเตะที่มีอยู่ให้ดีที่สุดโดยเฉพาะในแผงมิดฟิลด์ที่มีผู้เล่นใช้งานอย่างจำกัด และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทีมเลือกส่ง โจ โกเมซ ยืนประจำการในแดนกลาง !!

เห็นได้อย่างชัดเจนว่า “หงส์แดง” ใช้มิดฟิลด์ดาวรุ่งอย่าง แม็คคอนเนลล์ กับ บ็อบบี้ คล้าร์ก ลงตัวจริง และเพื่อไม่ให้ทีมเสียสมดุลจึงจำเป็นต้องหานักเตะที่มีประสบการณ์คอยช่วยประครอง นั่นทำให้ “บอส” เลือกจับ โกเมซ ลงเล่นในตำแหน่งกองกลางตัวรับ

ในช่วงต้นเกม โกเมซ ต้องพยายามปรับตัวกับตำแหน่งใหม่ และอาจเจอกับความยากลำบากในการสู้กับการเคลื่อนที่และความรวดเร็วของผู้เล่นแดนกลางทีมเยือน แต่หลังจากนั้นก็ค่อยๆ ปรับตัวได้ดีขึ้นเรื่อยๆ

ตอนนี้ ดาวเตะเลือดผู้ดี วัย 26 ปี กลายเป็นนักเตะสารพัดประโยชน์ของ คล็อปป์ ไปแล้ว โดยเขาเล่นตั้งแต่เซนเตอร์แบ็ก, แบ็กขวา, แบ็กซ้าย ตอนนี้ก็เป็นมิดฟิลด์ตัวรับ ส่วนในอนาคตจะได้ยืน “กองหน้า” เพื่อยิงประตูแรกในอาชีพนักเตะหรือเปล่า ต้องลุ้นว่า ลิเวอร์พูล อยู่ในสถานการณ์แบบไหน !!

3. นักบุญออกสตาร์ทอันตราย

ต้องยอมรับว่า ลิเวอร์พูล อยู่ในสภาพที่ไม่ได้ฟิตเต็มร้อยเปอร์เซนต์ เนื่องจากพวกเขาพึ่งจะกรำศึกหนักตลอด 120 นาทีในเกมเฉือน “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี 1-0 ในรอบชิงชนะเลิศ ศึกคาราบาว คัพ เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

ด้วยเหตุนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทัพ “นักบุญ” จะออกสตาร์ทได้อย่างดุดัน เพราะ “เดอะ เร้ดส์” ยังไม่สามารถเรียกฟอร์มเก่งออกมาได้ และนั่นทำให้ทีมเยือนมีโอกาสที่จะทำประตูได้หลายครั้งหลายหน

นักเตะเซาธ์แฮมป์ตัน แสดงให้เห็นถึงการเล่นที่ไม่เกรงกลัว และโชว์คุณภาพในการครอบบอลได้อย่างยอดเยี่ยม นอกจากนี้พวกเขามีโอกาสสร้างความอันตรายจาก เซกู มาร่า กับ คามัลดีน ซูเลมาน่า

อย่างไรก็ตามหนึ่งในนักเตะที่ทำให้ “เดอะ เร้ดส์” รอดพ้นการเสียประตูในช่วงต้นเกม นั่นก็คือ เคลเลเฮอร์ ที่แสดงให้เห็นถึงการเล่นที่นิ่ง และยังมีชอตเซฟสวยๆ หลายครั้ง

4. แมตช์ต่อไปเยือนโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด

หลังจากชัยชนะในแมตช์นี้ ลิเวอร์พูล ต้องเตรียมทำศึก “แดงเดือด” นอกรอบปะทะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่สนามโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ในรอบก่อนรองชนะเลิศ ซึ่งถือเป็นเส้นทางที่ยากลำบากสำหรับ “หงส์แดง” อีกครั้ง

ทีมของกุนซือเอริค เทน ฮาก แม้จะฟอร์มลุ่มๆ ดอนๆ ในช่วงที่ผ่านมา แต่ล่าสุดพวกเขาสามารถเอาชนะ น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ ได้อย่างหวุดหวิด 1-0 นั่นทำให้ในปี 2024 พวกเขาแพ้แค่เกมเดียวเท่านั้น (แพ้ ฟูแล่ม 1-2)

แมตช์ล่าสุดที่แอนฟิลด์ ต้องบอกว่า แมนฯ ยูไนเต็ด เตรียมตัวมาดีมากๆ แม้จะโดน ลิเวอร์พูล เปิดเกมบุกเป็นพายุก็ตาม แต่สามารถใช้สูตรรถบัสสองชั้นทำให้รอดออกมาได้พร้อมกับ 1 คะแนนที่สำคัญ

ดังนั้น คล็อปป์ แอนด์ โค. รู้อยู่เต็มอกว่าการไปเยือน “โรงละครแห่งความฝัน” เจ้าบ้านคงไม่คิดจะเล่นแบบเดิมแน่นอน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะเปิดเกมรุกเต็มตัว ฉะนั้น “หงส์แดง” จะต้องเตรียมทีมให้พร้อมที่จะรับมือกับแท็คติก “ผีแดง”

ขณะเดียวกันสาวก “เดอะ ค็อป” ต้องภาวนาให้ผู้เล่นตัวหลักหายเจ็บกลับมาช่วยทีมให้ทันแมตช์สำคัญนี้ เพราะถ้าใช้แข้ง “หงส์ละอ่อน” มากเกินไป อาจจะไม่สามารถรับมือกับแรงกดดันที่สุดแสนมหาศาลจากเจ้าบ้านได้

5. เส้นทาง 4 แชมป์ยังได้ไปต่อ

หลายคนอาจจะมองว่ามันเหมือนกับเมื่อสองปีที่แล้วที่ ลิเวอร์พูล มีลุ้น 4 แชมป์แต่บทสรุปสุดท้ายพวกเขาได้เพียง 2 แชมป์นั่นก็คือ เอฟเอ คัพ กับ คาราบาว คัพ ดังนั้นในฤดูกาลนี้ เป็นอีกครั้งที่แฟนบอล “หงส์แดง” ได้มีโอกาสลุ้นทีมรักสร้างประวัติศาสตร์กันอีกครั้ง

ตอนนี้ ลิเวอร์พูล มีโทรฟี่เอาไว้กอดเล่นแล้ว 1 รายการนั่นคือ คาราบาว คัพ ส่วนในศึกพรีเมียร์ลีก ปัจจุบันพวกเขามี 60 คะแนนนำ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1 แต้ม ส่วน ยูฟ่า ยูโรปา ลีก เข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย และ เอฟเอ คัพ ทะลุรอบ 8 ทีมสุดท้าย

แม้ว่าอาจจะดูเหมือนการมโนภาพสร้างฝันก็ตาม แต่เชื่อว่า สาวก “เดอะ ค็อป” ทั่วโลก ยังรู้สึกว่าทีมรักของพวกเขามีโอกาสที่จะสร้างสิ่งมหัศจรรย์ที่สโมสรในอังกฤษไม่เคยทำได้มาก่อน

ยิ่งไปกว่านั้นนี่คือการนับถอยหลังการทำงานซีซั่นสุดท้ายของ คล็อปป์ แน่นอนว่านักเตะทุกคนคงจะสู้ถวายหัวในการสร้างความยิ่งใหญ่เพื่อเป็นการเลี้ยงอำลา “บอส” !

UFA365 เว็บพนันออนไลน์

UFA365 เว็บพนันออนไลน์


สล็อต365 UFA365 แทงบอล365
UFA365 สมัครฟรี คลิ๊กเลย ➢ https://ufa365d.ibetauto.com/ufa365d/ufabet/register
สอบถามเพิ่มเติม 🆔 𝙇𝙄𝙉𝙀 : @ufa365d